วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2552

สวนกลางคืน 1

http://www.homeandi.com/content/c1630.html
สวนกลางคืน

สวนเล็ก ๆ สุดสงบที่โดดเด่นด้วยผ้าม่านสีขาวนวลตาและแสงไฟสว่างไสวส่องกระทบสายน้ำ เมื่อผสมผสานกับผู้จัดสวนทั้ง 3 คนซึ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้ว อารมณ์แรกที่สัมผัสได้ยามเข้าไปใช้สวนกลางคืนแห่งนี้คือ “ดูเป็นผู้ญิ้ง ผู้หญิงเนอะ”

นอกจากเจ้าของผลงานจะเป็นผู้หญิงแล้ว ทั้งสามคนยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากรชั้นปีที่ 2 อีกด้วย ชื่อสวน “The Miracle Garden” ที่พวกเธอตั้งขึ้นมา บางทีอาจจะเป็นการสื่อถึงความมหัศจรรย์ของพวกเธอเองก็ได้ เพราะที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้แบบนี้มันมาจาก 6 มือเล็ก ๆ ของพวกเธอทุกขั้นตอน!

“เราทำกันเองหมดเลยค่ะ เพิ่งเรียนปี 2 ด้วย เป็นผู้หญิงหมดเลยด้วย ไม่มีประสบการณ์ ก็จัดกันเองไม่ได้มีช่างเลย ทั้งเลื่อย ทั้งตอก ทาสีเอาเองหมดเลย” ศยาพร อาภรณ์ทิพย์ หนึ่งในทีมจัดสวนบอก ส่วนอีกสองสาวนั้นก็คือภาพร บุญปิติกุลและศรัญญา ชมเจริญ


ทั้งสามคนเรียนคณะมัณฑนศิลป์ สาขาออกแบบภายในมา จึงน่าสนใจมากที่มาแท็กทีมกันจัดสวน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เรียน Landscape มาโดยตรงด้วยซ้ำไป ศยาพรชี้แจงว่างานออกแบบภายในนั้น บางครั้งก็อาจจะต้องมีการจัดสวนอยู่ด้วย จึงเป็นความท้าทายความสามารถของพวกเธอเป็นอย่างยิ่งกับโจทย์การจัด “สวนกลางคืน” ครั้งนี้

“พอได้ยินว่าสวนกลางคืนพวกเราก็คิดถึงไฟกันก่อนเลย มันต้องมีการจัดไฟแน่นอน เรานึกเลยไปว่าเงาน้ำเวลาสะท้อนไฟแล้วไปตกกระทบกับฉากหรือผ้าม่านสีขาวนี่ มันน่าจะสวยดี เราเริ่มจากความคิดตรงนี้ก่อน” ศยาพรเล่ารายละเอียดของไอเดียเริ่มต้น

เมื่อได้จุดเริ่มต้น ต่อไปก็คือการใส่รายละเอียดเข้าไป การทำงานของสามสาวเริ่มต้นจากการพูดคุยเพื่อหาข้อสรุปว่าต้องการให้งานออกมาแบบไหน จากนั้นแต่ละคนจึงกลับไปสเก็ตช์แบบมาเลือกกัน และข้อสรุปที่ลงตัวที่สุดก็คือ “เอาจุดดีของคนนั้นนิด มาผสมกับจุดเด่นของคนนี้หน่อย” นั่นเอง


“เราคิดว่าสวนเล็ก ๆ แห่งนี้ต้องมีบ่อน้ำ โดยเราจะใช้อะครีลิกใสมาทำเป็นตัวห้อย ๆ ให้วางของเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ อย่างเทียนหรือแก้วอะไรแบบนี้ แล้วยิงแสงไฟจากน้ำพุข้างล่างให้เป็นแสงเงา” ศยาพรเล่าถึงความค่อย ๆ เป็นรูปเป็นร่างของ The Miracle Garden

คอนเซ็ปต์ที่สามสาวคิดเอาไว้ตั้งแต่เริ่มต้นคือต้องการให้สวนดูร่มรื่น มีชีวิตชีวา โดยไม่เน้นโครงสร้างที่ตายตัว สามารถปรับเปลี่ยนตามการใช้งานได้ เมื่อได้แบบที่ลงตัวและผ่านการคัดเลือกรอบแรกจากคณะกรรมการแล้วพวกเธอก็จัดการแบ่งหน้าที่กันทำงานตามแต่ความถนัดของแต่ละคน

“คนที่รู้เรื่องต้นไม้ที่สุดก็ไปจัดหาต้นไม้มา อีกคนไปหาอุปกรณ์ต่าง ๆ ตามที่เราต้องการ ก็ตระเวนหาค่ะว่าแหล่งไหนถูก แหล่งไหนที่คุ้มค่า ส่วนคนสุดท้ายมีหน้าที่ไปติดต่อประสานงานหาสปอนเซอร์ จากนั้นจึงกลับมาเจอกันอีกทีตอนจัดเลย” ศยาพรเล่าถึงกระบวนการทำงาน


นอกจากส่วนของบ่อน้ำและผ้าม่านซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของไอเดียแล้ว สวน The Miracle Garden ยังมีที่นั่งสำหรับพักผ่อนวางอยู่บริเวณกลางสวนเพื่อให้ผู้ใช้สวนรู้สึกว่ามีธรรมชาติรายล้อมอยู่รอบตัว โดยสามสาวเลือกใช้เป็นแคร่ไม้ซึ่งให้บรรยากาศไทย ๆ แม็ทช์กับผ้าม่านสีขาวไม่น้อย

ต้นไม้ประธานของสวนแห่งนี้ ทั้งสามใช้ต้นลั่นทมหรือลีลาวดีด้วยเหตุผล “เพราะว่ามีฟอร์มสวยและดูอ่อนหวาน ดอกมีสีขาวและกลิ่นหอม ใบโค้งสวยงาม ที่สำคัญคือมันเป็นไม้ไทยโบราณที่ให้อารมณ์หวาน ๆ เหมาะกับสวนที่มีม่าน ๆ ค่ะ” ศยาพรว่า

ส่วนพรรณไม้อื่น ๆ นั้นประกอบไปด้วย ไม้ดอกอย่าง “พุดทิเซีย” ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เลี้ยงง่ายและขนาดจะไม่โตไปกว่านี้อีกแล้ว แต่มีดอกดกสีขาว สร้างบรรยากาศของสวนให้ดูอ่อนหวานขึ้นอีก ส่วนพืชคลุมดินใช้ “เศรษฐีเรือนอก” รวมทั้งเลือกใช้ต้นที่ฟอร์มสวย ๆ อย่างกกน้ำหรือต้นจั๋งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ


“ตรงอะครีลิกใสที่เราทำห้อย ๆ เหนือบ่อน้ำนั้นใช้สำหรับวางของกระจุกกระจิก แต่ที่อยากให้วางคือเทียนค่ะ เพราะให้แสงที่นุ่มขึ้น...คือถ้าใช้แสงที่ยิงขึ้นมาอย่างเดียว บรรยากาศแสงในสวนมันจะแข็งไป แสงเทียนช่วยทำให้บรรยากาศของสวนดูนุ่มนวลขึ้นได้ค่ะ” ศยาพรว่า

สามสาวศิลปากรสร้างอาณาเขตและความเป็นสัดเป็นส่วนให้กับสวนด้วยโครงไม้ไผ่ย้อมเป็นสีเดียวกับแคร่ไม้ ตอกตะปูแล้วยึดด้วยเชือก โครงไม้ไผ่นี่นอกจากจะดูเข้ากันได้ดีกับบรรยากาศสวนโดยรวมแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความอ่อนช้อยที่ผสมผสานมากับความเข้มแข็งอีกด้วย

ลีลาวดี, ม่านขาว, ไม้ดอก, เทียน ฯลฯ องค์ประกอบต่าง ๆ ที่ว่ามาทำให้สวน The Miracle Garden ดูอ่อนหวานและ “โดนใจ” ผู้หญิงจริง ๆ เสียงตอบรับจึงออกมาในแนว “น่ารัก ดูหวาน ๆ ผู้หญิง ๆ” โดยกลุ่มที่ชื่นชอบสวนนี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้หญิงและกลุ่มคนสูงอายุ



Night Life ของคนรุ่นใหม่เดี๋ยวนี้ จินตนาการแรกที่พาความคิดของเราเดินทางไปถึงก็คือ “ความหวือหวา” ไม่อย่างนั้นจะเกิดแหล่งบันเทิงของคนรุ่นใหม่ไล่เรียงมาตามยุคต่าง ๆ หรือ? ทั้งอาร์ซีเอ, คอกวัว, อตก. ไล่มาจนถึงรัชดาฯซอยสี่

แต่ที่ว่ามานี้ก็ไม่ใช่ทั้งหมดของ Night Life ของคนรุ่นใหม่ เพราะบางคนก็เลือกที่จะกลับไปพักผ่อนสบาย ๆ ชิล ๆ อยู่กับบ้านซะมากกว่าหรือเต็มที่แค่ออกไปทานอาหารเสพบรรยากาศสวย ๆ งาม ๆ ของร้านอาหารสมัยใหม่แค่นั้นเอง...ที่ว่ามานี้เกี่ยวกับการจัดสวนมั้ยนี่?

ในบรรดาสวนกลางคืนที่ส่งเข้าประกวดในงานบ้านและสวนแฟร์’2006 นั้น เกือบทุกสวนเป็นสวนที่ “หวือหวา” ด้วยแสงไฟสมกับคอนเซ็ปต์ “สวนกลางคืน” ทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้มีอยู่สวนหนึ่งที่ดู “เรียบ” ที่สุด แต่ในความ “เรียบ” นั้น สวนแห่งนี้มีบรรยากาศอบอุ่นน่าเข้าไปนั่งพักผ่อนไม่น้อยไปกว่าสวนอื่น ๆ เลย


สวนนี้เจ้าของไอเดียตั้งชื่อสวนได้เรียบง่ายสมใจมากว่า “Garden Night” ตรง ๆ อย่างนั้นเลย เธอคือคุณวัชรารัตน์ ธงยศปัจจุบันเป็นนักจัดสวน, ออกแบบจัดสวนอิสระ รวมทั้งยังเป็นที่ปรึกษาของบริษัทกาดเกสร จำกัด บริษัทเพาะต้นไม้และรับจัดสวนทั่วไปด้วย

“พื้นที่สำหรับจัดสวนมีขนาด 2x3.5 เมตร เรามองว่าพื้นที่เล็ก ๆ สำหรับจัดสวนกลางคืนแบบนี้เหมาะกับทาวน์เฮาส์หรือคอนโด แต่คนทำงานตอนกลางวันไม่ได้ใช้สวนกลางคืนหรอก สวนสาธารณะก็ไม่ได้ใช้ เพราะกลับถึงบ้านก็นอนเลย เราอยากยืดเวลาใช้สวนกลางคืนในบ้านของเค้า” คุณวัชรารัตน์กล่าวถึงไอเดีย

นั่นจึงเป็นที่มาของไอเดียการจัดสวนที่เหมือนเป็น “สวนระเบียง” นั่นเอง ด้วยความที่เป็นพื้นที่แคบ ๆ คุณวัชรารัตน์จึงดีไซน์ให้มีการเจาะช่องตรงกำแพงเพื่อให้ผู้ใช้หรือเจ้าของสวนมีความรู้สึกเหมือนมีพื้นที่เชื่อมโยงมากขึ้น โดยช่องที่เจาะเพิ่มขึ้นมานี้เจ้าของไอเดียใช้สำหรับประดับด้วยกระถางไม้ดอกที่สวยงาม


“เราใช้ไม้ดอกเป็นหลักค่ะ เพื่อให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่ในบ้าน นอกนั้นก็ใช้ไม้ใบที่มีใบเป็นลักษณะกราฟฟิคเพราะบ้านสมัยใหม่เป็นสไตล์โมเดิร์น สวนที่จัดออกมาจึงควรเป็นสไตล์โมเดิร์นด้วย ส่วนบริเวณระเบียงก็ออกแบบลายเป็นแพทเทิร์นสลับลายกัน” คุณวัชรารัตน์ว่า

ทางเดินเข้าสู่สวนแห่งนี้โรยเอาไว้ด้วยก้อนกรวด จึงสามารถสัมผัสกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่และไม่เจ็บเท้าด้วย คุณวัชรารัตน์เลือกใช้ก้อนกรวดแบน เธอให้เหตุผลว่า “ไม่รู้ว่าคิดเอาเองหรือเปล่า คิดว่ากรวดแบนกำลังเป็นที่นิยมมาก ๆ จากที่เมื่อก่อนมีแต่กรวดกลม ๆ ทั้งนั้น”

นอกจากโรยด้วยกรวดแล้วยังปลูกต้นไม้เรี่ยดินช่วยสร้างสัมผัสกับธรรมชาติมากขึ้น พรรณไม้เรี่ยดินที่เจ้าของไอเดียใช้คือ “เฟิร์นฮาวาย” ซึ่งมีใบที่ดูเป็นกราฟฟิคสมดั่งคอนเซ็ปต์ที่วางเอาไว้ ลึกเข้าไปด้านในเป็นระเบียงไม้ใช้นั่งเล่น นอนเล่นได้ ลึกสุดเป็นที่นั่งที่ใช้โครงสร้างเดียวกับกำแพง ขนาบด้านข้างด้วยต้นไม้ประธานของสวนคือต้นหูกระจง


เลือกใช้ต้นหูกระจงเพราะโครงสร้างของต้นเป็นชั้น ๆ เห็นชัดเจนว่าเป็นเส้นกราฟฟิคดีไซน์ เวลาส่องไฟเราจะเห็นรูปทรงมันชัดเจนมากเลย” คุณวัชรารัตน์ว่า ขณะที่กำแพงที่เจาะเป็นช่องนั้น นอกจากจะวางไม้ดอก (ซึ่งทำให้สวนไม่ดูแข็ง) แล้ว ยังวางประติมากรรมเอาไว้ด้วย (กระถางต้นไม้เปล่า) ช่วยสร้างจุดเด่นได้ไม่น้อย

การใช้แสงไฟในสวน Garden Night จะใช้แสงไฟ 2 แบบด้วยกัน แบบที่หนึ่งคือแสงไฟที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ร้อนแรง เป็นแสงไฟสีเหลืองใช้เน้นประติมากรรมและไม้ดอกที่จัดไว้ในกำแพง แบบที่สองคือไฟสีขาวใช้สำหรับเน้นไม้ยืนต้นเพื่อให้เห็นลักษณะที่ชัดเจนของใบสีเขียว

จะเห็นได้ว่าการใช้แสงไม่ได้เน้นความหวือหวาเลย แต่ความเรียบ ๆ นั้นสร้างอารมณ์ให้กับสวนได้ไม่น้อย รวมทั้งยังมีฟังก์ชันของการใช้แสงที่ชัดเจนอีกด้วย เมื่อผสมผสานกับประโยชน์ใช้สอยของสวนที่ผู้จัดวางเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว บนความเรียบง่ายของรูปแบบกลับตอบสนองการใช้งานได้อย่างครบเครื่อง


จึงไม่น่าแปลกใจที่เสียงตอบรับส่วนใหญ่ของคนดูจะมาในแนว ๆ “คนดูบอกว่าเรียบ ๆ ค่ะ แต่พอเข้ามาใช้แล้วดูปลอดภัยดี รูปแบบของสวนสามารถยกไปวางที่บ้านได้เลย-ถ้าจะทำ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ต้นไม้ก็น้อยชนิดด้วย สามารถทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน” คุณวัชรารัตน์ว่า

ทั้งนี้หากต้องการทำ “สวนแบบนี้” เองบ้างที่บ้าน เจ้าของไอเดียแนะนำว่าสามารถนำไปดัดแปลงให้เข้ากับความเป็นตัวเองของเจ้าของบ้านได้หลายอย่างโดยเฉพาะในส่วนของกำแพงซึ่งมีช่องเจาะนั่นแหละ สามารถเปลี่ยนเทคเจอร์ได้หลายรูปแบบจะทำเป็นปูนเปลือยก็ได้ ปูกระเบื้องก็ได้ ทาสีก็ได้หรือจะเพนท์ลายก็ได้เช่นกัน

“หลักในการจัดสวนที่ดี อันดับแรกคือผู้ใช้ต้องการอะไร จากนั้นเราต้องรู้ด้วยว่าสถาปัตยกรรมโดยรวมเป็นอะไร สไตล์อะไร เราต้องจัดให้เข้ากับอาคารของเขา มันก็มีนะที่ตึกเป็นโมเดิร์น แต่อยากได้สวนแบบอื่น เราสามารถผสมผสานได้ แต่ก็ต้องบอกเจ้าของบ้านด้วย” คุณวัชรารัตน์ปิดท้ายถึงการจัดสวนที่ดี


หลักการเท่าที่กุหาได้
Twilight night
Roommag

ชีวิตคนทำงานในเมืองส่วนใหญ่เมื่อกลับมาถึงบ้านก็มืดซะแล้ว จะหาเวลานั่งเล่นในสวนบ้างนั้น เลิกคิดไปได้เลย แต่ถ้าเราใช้ระบบไฟมาจัดสวนให้สามารถใช้ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ปัญหาเหล่านี้ก็คงจะหมดไป ทีนี้จะได้เลิกบ่นสักทีว่าไม่มีเวลา
Details1.สร้างลูกเล่นให้ผนังน้ำตกด้วยการใช้แผ่นอะคริลิกขนาดต่างๆ มาวางซ้อนเหลื่อมกัน นอกจากนี้เมื่อแสงไฟใต้น้ำ ส่องกระทบกับแผ่นอะคริลิกในมุมและตำแหน่งที่แตกต่างกันก็ช่วยเพิ่มความน่าสนใจได้ดีทีเดียว

2. สร้างช่องวางของบนกำแพงเพื่อเพิ่มจุดเด่น ด้านในวางแจกันที่มีกิ่งไม้เป็นฐานสำหรับใส่เทียน เมื่อแสงเทียนตกกระทบก็จะมีเงาของกิ่งไม้ที่เป็นเส้นสายให้กับกำแพง
3. ซ้อนไฟไว้ใต้บ่อน้ำ เมื่อผิวน้ำมีการเคลื่อนไหวก็จะทำให้แสงไฟที่ส่องออกมาพลิ้วไหวไปตามผิวน้ำที่เคลื่อนที่
สวนมีไฟ
จาก บ้านและสวน ปี 2545
ไฟที่ว่าไม่ใช่ไฟเปลว แต่เป็นไฟดวง ไฟส่องและไฟโคม ที่เปลี่ยนบรรยากาศสวนยามค่ำให้ดูมีมิติที่น่าเข้าหาและนำเข้าไปใช้ ทำให้ประโยชน์ที่เจ้าของบ้านจะได้รับจากสวนนี้เพิ่มขึ้นไปด้วย
“เจ้าของ” สวนส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับไฟ เพราะว่าคิดไม่ถึง และคิดว่ามันเป็นการสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ซึ่งถ้าไฟที่ดีจริงๆ ราคาก็จะสูงหน่อย แต่ก็ใช้ได้นาน และสวนตอนกลางคืนนี้มันก็เป็นอีกเรื่องเลย
คุณพสุ สุขุมเวท นักจัดสวนผู้รับผิดชอบในการออกแบบและจัดสวนแห่งนี้กล่าวถึงแนวคิดและที่มาของสวนกลางคืน
“ไฟของยี่ห้อ we-et ซึ่งเราก็จะกำหนดไปก่อน เขาก็จะส่งผู้เชี่ยวชาญมาดู เพราะว่าไฟบางชนิดเราไม่รู้ว่ามันจะมีเลนส์แบบไหน ความกว้างของแสงกี่องศา เราจะให้สเป็คไปคร่าวๆว่าอยู่ตรงนี้ตรงนั้น แล้วเขาก็จะมาดูให้ตอนต้นไม้ลงจริงแล้ว แต่พวกไฟโคมตามทาง เราเป็นคนกำหนดจุด เพราะระยะห่างมันฟรีฟอร์มได้ และไฟนี้ก็จะมีฉายขึ้นไปแล้วก็มียิงลงมา มีใต้น้ำด้วย วางตำแหน่งก็ดูว่าส่องไปเจออะไร เน้นมุมมองที่มองจากในบ้านและตอนขับรถเข้ามา
เรื่องแสงเรื่องไฟนี้เป็นเรื่องของทั้งเหตุผลและความรู้สึก เหตุผลของการจัดแสงใช้ไฟก็เพื่อให้การใช้สอยสวนยามค่ำคืนเป็นไปได้อย่างสะดวก ส่วนด้านความรู้สึกนั้นก็คือการสร้างบรรยากาศให้สวนมีความต่าง เพื่อตอบสนองอารมณ์ที่ต้องการเสพและชื่นชมแสงสี อันเป็นหนึ่งในประสาทสัมผัสทั้ง 5
การจัดสวนคือการจำลองภาพธรรมชาติเข้ามาไว้ในบ้าน ด้วยรูปแบบที่ตอบสนองความต้องการและการใช้งานของผู้เป็นเจ้าของ
“การจัดก็คำนึงถึงเรื่ององค์ประกอบ แล้วก็ดูหลักการใช้สอย ว่าเดินมาทางนี้แล้วมอง จะเห็นอะไร เพราะว่าเวลาดีไซน์นั้น ผมสเก็ตซ์ออกมาให้เจ้าของบ้านดูเป็นไกด์ไลน์ว่าคุณจะได้ประมาณนี้ แต่พอมาลงอาจจะไม่เป็นต้นนั้น อาจจะเป็นต้นอื่นที่สวยกว่า แต่เขียนระบุไว้ว่าตรงนี้จะเป็นไม้ใหญ่
Twilight Gardens
สวนยามค่ำคืน
บ้านและสวน มกราคม 2550
อันนี้เป็นการประกวดจัดสวนกลางคืน เน้นการออกแบบตกแต่งโดยนำแสงไฟเข้ามาใช้ภายในสวน ซึ่งแนวคิดนี้เกิดจากข้อจำกัดในการใช้งานสวน เนื่องจากเวลาที่หมดไปกับการทำงานของผู้คนในปัจจุบัน การเพิ่มแสงสว่างในสวนยามค่ำคืน นอกจากจะช่วยยืดเวลาการใช้งานภายในสวนให้ยาวนานขึ้น ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้สวนยามค่ำคืน อีกทั้งแสงยังช่วยสร้างบรรยากาศและจุดเด่นให้สวน ทำให้ดูแตกต่างจากช่วงเวลากลางวัน


รางวัลชนะเลิศ
Natural of life
ใช้การออกแบบที่เรียบง่ายสไตล์โมเดิร์น มีพรรณไม้น้อยเพื่อให้ดูแลง่าย และเน้นพรรณไม้ที่มีรูปทรงเส้นสายชัดเจน เพื่อให้เกิดลูกเล่นกับแสงไฟ จุดเด่นของสวนอยู่ที่การนำไม้ไผ่ไปปักลงบนพื้นให้เกิดระดับสูงต่ำติดหลอดไฟไว้บนส่วนปลาย เป็นตัวแทนของหิ่งห้อย
รางวัลรองชนะเลิศ
Reflection
จุดเด่นอยู่ที่รูปแบบการจัดวางองค์ประกอบต่างๆบนพื้นที่ โดยมีแนวคิดมาจากรูปทรงของกล่องที่วางซ้อนกัน เมื่อมองจากด้านบนจะเห็นมุมที่ซ้อนเกินออกมาดูมีความเคลื่อนไหวและไม่มีที่สิ้นสุด ใช้น้ำและกระจกเป็นตัวสะท้อนแสงไฟในสวนให้เกิดมิติรวมทั้งใช้รูปแบบของสวนแนวตั้งทำให้เกิดพื้นที่กว้างขึ้น
รางวัลชนะเลิศมหาชน
Romance Garden
สวนนี้ใช้การเคลื่อนไหวของแสงเป็นตัวเพิ่มมุมมองของการรับรู้โดยใช้แสงไฟส่องผ่านน้ำขึ้นมายังชั้นน้ำตกอะคริลิก เกิดเป็นเงาสะท้อนของแสงบนผนัง และเน้นแสงที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น เพื่อให้เกิดความนุ่มละมุนเมื่อเข้าไปใช้งาน มีการวางที่นั่งคั่น ระหว่างบ่อ เพื่อให้เกิดความรู้สึกเหมือนน้ำไหลผ่านตลอดเวลา

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ชายคนหนึ่งเพิ่งจะมาพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ
ชายคนนั้น...เพิ่งจะมาอ่านหนังสือออกตอนอายุ 8 ขวบ
ชายคนนั้น...เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน
ชายคนนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะแห่งซูริค
ชายคนนั้น...เคยถูกอาจารย์ระบุว่า "สมองช้า ไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตัว เองตลอดเวลา"

ชายคนนั้น...ชื่อ "อัลเบิร์ต ไอสไตน์" บิดาแห่งปรมาณู


ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์
ชายคนนั้น...ลองสมัครใหม่ดูอีกที
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอีกครั้ง
ชายคนนั้น...พยายามเป็นครั้งที่สาม
ชายคนนั้น...ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน
ชายคนนั้น...ได้เป็นทหารสมใจ
ชายคนนั้น...เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลก ครั้งที่สองได้สำเร็จ

ชายคนนั้น...ชื่อ "นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์" ผู้พิชิตแปซิฟิคแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง


ชายกลุ่มหนึ่ง...เป็นนักดนตรี
ชายกลุ่มนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากผุ้บริหารคนหนึ่งจากบริษัทเดคคาเรคคอร์ติ้ง
ชายกลุ่มนั้น...ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า"เราไม่ชอบเสียงเพลงของพวกเขา และกลุ่มนักดนตรีที่เล่นกีตาร์กำลังจะหมดสมัยแล้ว"

ชายกลุ่มนั้น...มีนามว่า "เดอะ บีเทิลส์" สี่เต่าทองแห่งตำนาน



ชายคนหนึ่ง...เป็นนักกีฬา
ชายคนนั้น...เล่นบาสเกตบอลให้กับทีมโรงเรียนมัธยม
ชายคนนั้น...เคยถูกคัดออกจากทีมโรงเรียน

ชายคนนั้น...ชื่อ "ไมเคิล จอร์แดน" หนึ่งในนักกีฬาบาสเกตบอลที่ทำเงินมากที่สุดในโลก


ชายคนหนึ่ง...เป็นนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน
ชายคนนั้น...สูญเสียความสามารถในการฟังลงเรื่อยๆ
ชายคนนั้น...หูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้ 46 ปี
ชายคนนั้น...ได้ใช้ช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตประพันธ์ เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุด

ชายคนนั้น...ชื่อ "ลุดวิก ฟาน บีโธเฟน" นักประพันธ์เพลงชื่อก้องโลก


ชายคนหนึ่งเรียนปริญญาตรี
ชายคนนั้น...เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษาระดับกลางเท่านั้น
ชายคนนั้น...เคยสอบได้อันดับที่ 15 จากนักศึกษา 22คน ในวิชาเคมี

ชายคนนั้น...ชื่อ "หลุยส์ ปาสเตอร์"


ชายคนหนึ่ง หลงใหลในคอมพิวเตอร์อย่างมาก
ชายคนนั้น...ชอบหมกตัวกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
ชายคนนั้น...ถูกเพื่อนมองว่า "สกปรก - บ้าคอมพิวเตอร์"
ชายคนนั้น...เคยเสนอซอฟแวร์ระบบให้กับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอย่างไม่ใยดี
ชายคนนั้น...ปัจจุบันคือผู้ให้การช่วยเหลือด้านเงินทุนกับ แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น...เคยถูก ไอบีเอ็ม มองว่า "แค่เด็ก"
ชายคนนั้น...ปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทซอฟแวร์ที่ทรงอิทธิพล มากที่สุดในโลก

ชายคนนั้น...ชื่อ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตส์ ที่สาม หรือที่รู้จักกันในนาม "บิลล์ เกตส์" ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ผู้ถือครองสินทรัพย์กว่า 46,000 ล้านเหรียญ


ผมเชื่อว่าทุกคนเคยแพ้

ผมเชื่อว่าทุกคนเคยล้มเหลว แต่คนแพ้ไม่ใช่คนที่ล้มเหลว

คนล้มเหลวคือ...คนที่ล้มเลิกต่างหาก

36 แผนที่ชีวิต ข้อคิดจากในหลวง

1 ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกจานอย่างจริงใจ

2 อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใด นอกจาก "ปัญญา" และ "ความกล้าหาญ"

3 "เพื่อนใหม่" คือของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วน "เพื่อนเก่า"/ "มิตร" คืออัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า

4 อ่านหนังสือ ธรรมะ ปีละเล่ม

5 ปฏิบัติต่อคนอื่นเช่นเดียวกับที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา

6 พูดคำว่า "ขอบคุณ" ให้มากๆ

7 รักษา "ความลับ" ให้เป็น

8 ประเมินคุณค่าของการให้ "อภัย" ให้สูง

9 ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี

10 ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง หากมีใครตำหนิและรู้แก่ใจว่าเป็นจริง

11 หากล้มลง จงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่

12 เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนักคิดเสมอว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว

13 อย่าถกเถียงธุรกิจภายในลิฟต์

14 ใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวก อย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน

15 อย่าหยิ่งหากจะกล่าวว่า "ขอโทษ"

16 อย่าอายหากจะบอกใครว่า "ไม่รู้"

17 ระยะทางนับพันกิโลเมตร แน่นอนมันไม่ราบรื่นตลอดทาง

18 เมื่อไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้ จึงควรทำสิ่งต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป

19 การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวยเป็นต้นทาง แห่งความไม่ประมาท

20 คนไม่รักเงิน คือคนไม่รักชีวิต ไม่รักอนาคต

21 ยามทะเลาะกัน ผู้ที่เงียบก่อนคือผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี

22 ชีวิตนี้ฉันไม่เคยได้ทำงานเลยสักวัน ทุกวันเป็นวันสนุกหมด

23 จงใช้จุดแข็ง อย่าเอาชนะจุดอ่อน

24 เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช่หน้าที่ของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจใน สิ่งที่เราพูด

25 เหรียญเดียวมี 2 หน้า ความสำเร็จ กับ ล้มเหลว

26 อย่าตามใจตัวเอง เรื่องยุ่งๆ เกิดขึ้นล้วนตามใจตัวเองทั้งสิ้น

27 ฟันร่วงเพราะมันแข็ง ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน

28 อย่าดึงต้นกล้าให้โตไวๆ (อย่าใจร้อน)

29 ระลึกถึงความตายวันละ 3 ครั้ง ชีวิตจะมีสุข มีอภัย มีให้

30 ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกผิด กระดุมเม็ดต่อๆไปก็ผิดหมด

31 ทุกชิ้นงานจะต้องกำหนดวันเวลาแล้วเสร็จ

32 จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด

33 ดาวและเดือนที่อยู่สูงอยากได้ต้องปีน "บันไดสูง"

34 มนุษย์ทุกคนมีชิ้นงานมากมายในชีวิต จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ

35 หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก จงอ่านหนังสือเดือนละเล่ม

36 ระเบียบวินัย คือ คุณสมบัติที่สำคัญในการดำเนินชีวิต

กำลังใจที่มองไม่เห็น..(แต่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึก)..

กำลังใจที่มองไม่เห็น..(แต่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึก)..

เรื่องราวในชีวิตของคนเรา...ถ้าจะเปรียบกับหนังสือ...
>>>…ก็คงจะเป็นหนังสือชีวิตเล่มใหญ่...
>>>…บางคนใช้เวลาเขียน 10 ปีบ้าง 20 ปีบ้าง..
>>>…หรือบางคนใช้เวลาเขียนตลอดเวลาและชั่วชีวิต....

เพราะมีหลายเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา..
+ + ดีบ้าง – ไม่ดีบ้าง...
+ + สุขบ้าง – ทุกข์บ้าง...
+ + ดีใจบ้าง – เสียน้ำตาบ้าง...
+ + ประสบความสำเร็จบ้าง – ผิดหวังบ้าง...

ถ้าหากจะเปรียบชีวิตเหมือนละคร..ก็คงจะเป็นโรงละคร..โรงใหญ่...ที่มากไปด้วยผู้แสดงบทต่าง ๆ
>>>…ในบางครั้ง...
>>>…เราต้องแสดงบทเป็นพระเอก – นางเอก...
>>>…หรือบางเวลา...
>>>…เราต้องแสดงบทเป็นผู้ดีบ้าง – ผู้ร้ายบ้าง...
>>>…ขึ้นอยู่กับว่า...ผู้กำกับจะให้เราแสดงอย่างไร ?

จะเห็นได้ว่า...
^-^ ในบทละครแห่งชีวิตของเรา...
^-^ ก็ได้ถูกจารึก – ขีดเขียน ไปตามบทบาทสมมุติ
^-^ ที่โลกแห่งภาพมายาได้หลอกล่อ..ภาพจินตมายา..ลงในจิตวิญญาณของเรา...

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม...
>>>…โลกแห่งภายมายาก็ได้แสดงบทบาทต่าง ๆ
>>>…ให้เราได้เรียนรู้...และเข้าใจ...
>>…ว่าโดยสัจธรรมแล้ว...
>>>…สิ่งต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นภาพจินตมายา..ที่เกิดขึ้นในจิตใจเรา...

ถ้าภาพจินตมายามาในรูปแบบของกำลังใจ...
จินตภาพนั้นก็จะปรากฏรูปขึ้นอย่างแจ่มชัดในความรู้สึกของเรา...

ดังนั้น..
+ + + การสร้างกำลังใจให้บังเกิดขึ้นในจิตใจของเรา..
+ + + ก็สามารถทำได้โดยวิธีการง่าย ๆ คือ...
+ + + การหลับตา...แล้วปลูกพลังแห่งความรู้สึกในแง่บวก...
+ + + ปรับทัศนคติในการคิดดี คิดในแง่บวก...
+ + + และบอกความรู้สึกดัง ๆ ให้ปรากฏในความรู้สึก..
+ + + ในส่วนลึกของจิตใจ...

ด้วยการบอกกับตนเองว่า...ตราบใดที่ฉันยังมีลมหายใจ....
>>>…คำว่า...แพ้...
>>>…คำว่า...ทำไม่ได้...
>>>…คำว่า...ไม่มี..ไม่เป็น..ไม่ได้...
>>>…ไม่มีอยู่ในหัวใจของฉันเลย...

แล้วกำมือแน่นประทับไว้ที่หัวใจเรา...
พร้อมหลับตา...เบา ๆ ..บอกความรู้สึกเช่นนี้...ให้หัวใจของเราได้รับรู้
และรับทราบตามความเป็นจริง...
โดยที่เราใช้หัวใจพูดด้วยเสียงดัง ๆ ให้ปรากฏจินตภาพภายในจิตใจของเรา...ว่า...
>>>…ฉันต้องทำได้....
>>>…ฉันต้องทำได้แน่นอน...
>>>…ฉันต้องทำได้อย่างดีที่สุดแน่นอน....

ทุกครั้งที่เราบอกกับด้วยตัวเอง...
ด้วยความรู้สึกแห่งพลังใจที่เต็มเปี่ยม...
จินตภาพเหล่านั้น...ก็จะปรากฏในจิตใจของเสมอ...
และตลอดเวลา...ดังที่เราเข้าใจว่า...กำลังใจที่มองไม่เห็น..(แต่รับรู้ด้วยความรู้สึก)...นั่นเอง.